ข้อค้นพบจากโครงการThai Nurse Cohort เกี่ยวกับสุขภาพของพยาบาลวิชาชีพไทย
โดย ผศ.ดร.เพชรสุนีย์ ทั้งเจริญกุล PhD, RN
ในประเทศไทยประมาณร้อยละ 90 ของพยาบาลวิชาชีพทำหน้าที่ให้การพยาบาลโดยตรงแก่ผู้ป่วยหรือที่ส่วนใหญ่เรียกว่า “พยาบาลประจำการ” ส่วนที่เหลือร้อยละ 10 ทำงานในลักษณะอื่นได้แก่ งานด้านการบริหาร การศึกษา การวิจัยและประกอบอาชีพอิสระที่ไม่เกี่ยวข้องกับการพยาบาล (สภาการพยาบาล, 2548 อ้างในกฤษดา แสวงดี, 2551) การทำหน้าที่ตามบทบาทของพยาบาลประจำการจะสมบูรณ์ได้จำเป็นต้องมีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง ปราศจากโรค แต่ยังไม่มีใครให้คำตอบได้ว่า สุขภาพของพยาบาลวิชาชีพไทยเป็นอย่างไร ?
งานวิจัยเรื่อง การติดตามสุขภาพและชีวิตการทำงานของพยาบาลวิชาชีพในประเทศไทย ของ กฤษดา แสวงดี เพชรสุนีย์ ทั้งเจริญกุล ฑิณกร โนรี และนงลักษณ์ พะไกยา เป็นงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่มีความพยายามมองหาปัญหาการทำงานของพยาบาลวิชาชีพในประเทศไทย และประเด็นปัญหาสุขภาพของพยาบาลวิชาชีพก็เป็นหนึ่งในปัญหาการทำงานของพยาบาลที่ในงานวิจัยนี้ให้ความสำคัญ
งานวิจัยชิ้นนี้จัดเป็นงานวิจัยเรื่องแรกที่ได้ทำการศึกษากับกลุ่มพยาบาลวิชาชีพจำนวนมากรวมทั้งสิ้น 18,765 คน (คิดเป็นร้อยละ 15 ของพยาบาลวิชาชีพทั้งหมดในประเทศไทย) ทีมผู้วิจัยพบว่าจากจำนวนพยาบาลประจำการทั้งหมด 15,773 คน มีประมาณหนึ่งในสามของพยาบาลประจำการ (4,879 คน) ที่มีสุขภาพสมบูรณ์ไม่เจ็บป่วยด้วยโรครุนแรงหรือโรคเรื้อรังที่ต้องการรักษาโดยแพทย์ อีกสองในสามของพยาบาลประจำการ (10,894 คน) มีการเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆอยู่ โดยโรคที่พบมากก็คือโรคที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้อกระดูกและข้อ ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาในหลายประเทศที่พบว่าพยาบาลวิชาชีพเป็นกลุ่มเสี่ยงที่เป็นโรคกล้ามเนื้อ กระดูกและข้อมากที่สุด (Smedley, Inskip, Trevelyan, Buckle, Cooper, & Coggon, 2003)
ข้อค้นพบหนึ่งที่น่าสนใจในงานวิจัยนี้ก็คือ พยาบาลประจำการจำนวนมากมีปัญหาในการนอนหลับ ผลการวิจัยชิ้นนี้พบว่าประมาณหนึ่งในสี่ของตัวอย่างพยาบาลประจำการ ( 4,197 คน) มีปัญหาในการนอนหลับ ทั้งนี้เกิดจากลักษณะการทำงานของพยาบาลประจำการที่ต้องขึ้นเวรผลัด ต้องอยู่เวรในตอนกลางคืนเป็นประจำและมีการทำงานหลายเวรติดต่อกันจึงทำให้มีการนอนหลับไม่เป็นเวลา หลับยาก หรือเกิดความผิดปกติในระหว่างการนอนได้ ซึ่งถ้าเกิดขึ้นเป็นเวลานานต่อเนื่องกันย่อมส่งผลเสียต่อร่างกาย ในส่วนการใช้ยานอนหลับ ผลการวิจัยพบว่าร้อยละ 8 ของพยาบาลประจำการที่มีปัญหาการนอนหลับ (444 คน) มีการใช้ยาในการแก้ปัญหาการนอน ในจำนวนนี้มีเพียงครึ่งหนึ่งที่ใช้ยานอนหลับแล้วมีอาการดีขึ้น ส่วนอีกครึ่งหนึ่งใช้ยาแล้วยังคงมีปัญหาการนอนหลับอยู่ ซึ่งกลุ่มนี้มีความเป็นไปได้ที่จะใช้ยานอนหลับที่รุนแรงขึ้น หากยังคงมีปัญหาการนอนหลับติดต่อกันเป็นเวลานาน
เป็นที่น่ายินดีที่โรงพยาบาลของรัฐได้มีมาตรการให้บุคลากรในโรงพยาบาลมีการตรวจสุขภาพประจำปีและให้สิทธิในการเบิกค่าตรวจสุขภาพตามที่กำหนดไว้ในแต่ละช่วงอายุ มีผลให้อุปสงค์ของการดูแลสุขภาพในเรื่องดังกล่าวของพยาบาลประจำการมีมากขึ้น พยาบาลประจำการจึงสามารถเฝ้าระวังการเกิดโรคเรื้อรังได้แก่โรคหัวใจ / หลอดเลือดหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูงโรคไขมันในเลือดสูงและโรคมะเร็งได้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามในงานวิจัยของดร.กฤษดา พบว่า พยาบาลประจำการมีการใส่ใจในการตรวจเต้านมและตรวจมะเร็งปากมดลูกค่อนข้างน้อย มีเพียงร้อยละ 78 ของพยาบาลประจำการทั้งหมดที่มีการตรวจเต้านม ในขณะที่มีการตรวจมะเร็งปากมดลูกเพียงร้อยละ 50 ของพยาบาลประจำการที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปี แม้ว่าพยาบาลประจำการจะเป็นบุคลากรทางด้านสุขภาพที่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องสุขภาพเป็นอย่างดีและได้รับการตรวจสุขภาพบางอย่างเป็นประจำ แต่หากไม่ตระหนักหรือให้ความสำคัญในการตรวจเต้านมและตรวจมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำ อาจจะเกิดปัญหาสุขภาพซึ่งแก้ไขให้กลับมาเป็นปกติได้ยาก
ทั้งหมดเป็นข้อค้นพบที่สำคัญของงานวิจัยชิ้นนี้ ที่สะท้อนให้เห็นภาวะสุขภาพของพยาบาลประจำการ ในท้ายของการวิจัยชิ้นนี้ได้ให้ข้อเสนอแนะที่น่าสนใจได้แก่ 1) ควรมีการศึกษาปัญหาการใช้ยานอนหลับของพยาบาลประจำการมากขึ้น ทั้งปัจจัยที่มีผลให้มีการใช้ยานอนหลับรวมทั้งการศึกษาติดตามพฤติกรรมการใช้ยานอนหลับของกลุ่มที่เคยมีปัญหาการนอนหลับว่ามีความรุนแรงมากขึ้นหรือไม่ และ 2) ถึงแม้ว่าผลการศึกษาของงานวิจัยชิ้นนี้จะพบว่าพยาบาลประจำการส่วนใหญ่มีความเจ็บป่วยด้วยโรคที่ไม่รุนแรง แต่จากการที่พยาบาลประจำการต้องทำงานภายใต้ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมากกว่าผู้ทำงานประเภทอื่น ดังนั้นทุกโรงพยาบาลจึงควรมีการจัดทำข้อมูลภาวะสุขภาพของพยาบาลอย่างเป็นระบบ มีการเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่องเพื่อนำมาใช้เป็นแนวทางในการป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นกับพยาบาลและมีการรณรงค์ให้พยาบาลประจำการตระหนักถึงความสำคัญของการตรวจเต้านมด้วยตนเอง การตรวจมะเร็งปากมดลูกและมีการตรวจสุขภาพเป็นประจำ
เอกสารอ้างอิง
กฤษดา แสวงดี. (2551). การศึกษาอุปทานกำลังคนพยาบาลวิชาชีพในประเทศไทย. นนทบุรี : สำนักการพยาบาล กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข.
กฤษดา แสวงดี, เพชรสุนีย์ ทั้งเจริญกุล, ฑิณกร โนรี,และ นงลักษณ์ พะไกยา. (2553). รายงานสรุปโครงการศึกษาติดตามสุขภาพและชีวิตการทำงานของพยาบาลวิชาชีพในประเทศไทย. นนทบุรี : สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระดับประเทศ กระทรวงสาธารณสุข.
Smedley, J., Inskip, H., Trevelyan, F.,Buckle, P., Cooper, C., & Coggon, D. (2003). Risk factors for incident neck and shoulder pain in hospital nurses. Occupational Environment Medicine, 60, 864-869.